วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560

[Fic] #QianYuan - Become Reality (1)


-1-



เขาว่ากันว่า ความรักนั้นเกิดขึ้นได้ทุกเวลา
มันอาจจะมาในรูปแบบ เพื่อนกับเพื่อน รุ่นพี่กับรุ่นน้อง หรือว่าเพื่อนร่วมงาน
แต่ยังมีความรักอีกรูปแบบหนึ่ง ที่สังคมภายนอกมองว่าเป็นเรื่องที่น่าขัน เป็นเรื่องที่ใครก็มโนขึ้นมาได้ นั่นก็คือ...


ศิลปิน กับ แฟนคลับ...


มันเป็นเรื่องที่น่าตลกสำหรับใครหลายคน ว่าเรื่องความรักระหว่างศิลปินกับแฟนคลับนั้นเป็นเรื่องที่เพ้อฝัน ไร้สาระ และไม่มีทางเป็นไปได้ยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร แต่สำหรับ “หวังหยวน” แล้ว เขาคิดว่า ตราบใดที่ศิลปินที่เขารักและตัวเขาเองนั้นอยู่ในผืนฟ้าเดียวกันแล้ว ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้

“หยวนลูก ผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยออกรึยัง” หญิงวัยกลางคนผู้เป็นแม่เดินเข้ามาหาพร้อมกับวางน้ำหวานและขนมเค้กสุดโปรดให้ลูกชายที่กำลังนั่งเคร่งเครียดอยู่ข้างหน้าคอมพิวเตอร์ หน้าจอเต็มไปด้วยเว็บไซต์ประกาศผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่กำลังจะประกาศขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้ เด็กหนุ่มถอนหายใจแล้วส่ายหน้ารัวๆเป็นการตอบรับ

“ไม่ต้องเครียดนะลูก อยู่ที่ไหนก็ได้แม่ไม่กดดันหรอกนะ แต่ถ้าได้ชิงหวาต้าก็ดีนะ ฮ่าๆ”

“โหแม่ นี่หรอคือไม่กดดัน ฮ่าๆๆ” คุณแม่ลูบหัวลูกชายเบาๆ หวังหยวนเงยหน้าขึ้นมายิ้ม

“งั้นเดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงแม่มานั่งลุ้นด้วยนะ”

“ครับ” คุณแม่ลูบหัวเบาๆก่อนที่ออกจากห้องไป หวังหยวนละสายตาจากคุณแม่หันมามองจอคอมพิวเตอร์เหมือนเดิม นาฬิกานับถอยหลังเริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง


เหลือเพียงไม่กี่นาที การรอคอยมานับสองปีก็จะสิ้นสุดลง


“ชิงหวาต้า ฉันรอนายอยู่นะ” 

“วิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยชิงหวา ฉันจะเข้าที่นี่ให้ได้ !! 

“หลังหนึ่งทุ่มห้ามหลับ เดี๋ยวสอบไม่ติดไม่รู้ด้วยนะ”


ว่าที่เฟรชชี่เงยหน้าขึ้นไปมองโพสอิทหลากสีที่เต็มไปด้วยข้อความกระตุ้นตัวเอง รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นมาเบาๆ ในสองปีที่เตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยเขาติดกระดาษแผ่นเล็กไปจนจะเต็มฝาผนังห้องนอน แต่มีโพสอิทอีกหนึ่งที่มีข้อความต่างจากใบอื่นๆ

千玺 我在等你。我们一起走 北大和清华。

“เชียนซี ฉันรอนายอยู่นะ พวกเราจะเดินไปด้วยกัน เป่ยต้าและชิงหวา”

ประโยคให้กำลังจะธรรมดาสำหรับคนทั่วไปที่เป็นแฟนคลับของศิลปินคนหนึ่ง แต่สำหรับหวังหยวน...มันมีความหมายแฝงอยู่ข้างในตัวอักษรเหล่านี้

หวังหยวนหยิบมันออกมาดูพร้อมกับรูปของเด็กหนุ่มวัยเดียวกันที่กำลังอ่านหนังสือ มุมขวาล่างของรูปถ่ายมีติดเครดิต “@ The Boy Band - 易烊千玺” เป็นการบอกว่ารูปนี่เขาเอามาจากแอคเคาท์เว่ยป๋อที่ชื่อว่า 


“อี้หยางเชียนซี”


เชียนซีหรืออี้หยางเชียนซี นักร้องนักแสดงวัยรุ่นจากวง The Boy Band ที่กำลังโด่งดังอย่างสุดขีด ณ เวลานี้ ซึ่งในปีนี้นักร้องหนุ่มก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยเช่นเดียวกับหวังหยวน ด้วยความที่ตอนเดบิวต์ใหม่ๆเจ้าตัวเคยถูกถามว่าอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยไหน เชียนซีก็ตอบไปว่าอยากเข้าที่เป่ยต้าหรือมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยดังอันดับต้นๆคู่กับมหาวิทยาลัยชิงหวา ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาต้องสอบเข้าที่นี่ให้ได้เพื่อที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าในอดีตที่เขาพูดไปนั้นไม่ใช่การพูดเล่นของเด็กวัยรุ่น

หวังหยวนก็มีความฝันไม่ต่างจากนักร้องคนโปรด เพียงแต่ว่าเป้าหมายของเขาต่างกับเชียนซีตรงที่ว่าเขาเรียนสายวิทยาศาสตร์มา และสนใจในสายวิศวกรรมอีก ซึ่งเป่ยต้าก็มีสอนเช่นกันแต่ความมีชื่อเสียงทางด้านนี้ต้องยกให้มหาวิทยาลัยเพื่อนบ้านอย่างชิงหวาต้า หรือมหาวิทยาลัยชิงหวา ซึ่งมีอันดับที่ดีกว่าด้านวิศวกรรม และจบมาก็อาจจะหางานหรือเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในอเมริกาได้ง่ายกว่า หวังหยวนจึงเลือกเรียนที่ชิงหวาเป็นอันดับแรก

เป่ยต้ากับชิงหวาอยู่ใกล้กันในระดับที่เดินไปเที่ยวทุกวันก็ได้ ถ้าคิดถึงเมื่อไหร่ เขาก็เดินเข้าไปในนั้นได้ทุกเมื่อ

แค่ได้อยู่ใกล้ๆกัน ก็สุขใจมากพอแล้ว J

“เหลืออีก 20 นาทีแล้ววววว” หวังหยวนบ่นกับตัวเอง มือเรียวเริ่มสั่นไปพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้น ขาทั้งสองข้างเริ่มอยู่ไม่สุขเพราะสั่นไปมาเพราะความตื่นเต้น นิ้วที่วางไว้อยู่บนเม้าส์ก็เริ่มคลิกรีเฟรชรัวๆ ระบบก็เริ่มอืดเพราะคนเข้าไปดูกันเป็นจำนวนมาก

“ใกล้แล้วใช่ไหมลูก” คุณแม่เข้ามานั่งลงข้างๆ หวังหยวนพยักหน้าแล้วคว้ามือของแม่มาจับเอาไว้

“ตื่นเต้นจังเลยครับแม่” พูดไปมือก็ยิ่งกำมือของคุณแม่เอาไว้อย่างแน่น หญิงผู้เป็นแม่ก็กุมมือของลูกชายเอาไว้เป็นกำลังใจให้

“ลูกอ่านหนังสือหนักขนาดนี้ ชิงหวายังไงก็ได้อยู่แล้วน่ะลูก” ตลอดหกเดือนสุดท้ายของการเตรียมสอบ高考 เกาเข่าหรือการสอบเข้ามหาวิทยาลัย หวังหยวนอ่านหนังสือหนักทุกวันตั้งแต่หนึ่งทุ่มถึงตีสอง บางวันก็อ่านถึงตีห้าของวันรุ่งขึ้น และวันนั้นก็ได้นอนแค่หนึ่งชั่วโมงและตื่นไปโรงเรียนต่อ กลับบ้านมาด้วยสภาพที่เป็นซอมบี้ทุกวัน จนคุณแม่บอกว่าให้อ่านน้อยๆกว่านี้หน่อยจะได้ไม่เสียสุขภาพ

“แต่คนเก่งๆก็มีเยอะนะครับ ผมอาจจะได้คะแนนน้อยกว่าพวกนั้นก็ได้” หวังหยวนพูดด้วยน้ำเสียงหงอยๆ ยิ่งอยู่ในเมืองใหญ่ อัตราส่วนของคนเก่งก็จะยิ่งมากขึ้น หวังหยวนอยู่ฉงชิ่งซึ่งเป็นเมืองใหญ่ของทางตอนใต้ เด็กเก่งก็มีมากตามไปด้วย และเด็กพวกนี้ก็เป็นคู่แข่งของเขาทั้งนั้น แม้กระทั่งเพื่อนในห้องของเขาเอง ก็ถือว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวด้วยอีกคน

“เอาน่ะลูก แม่เชื่อว่าลูกทำได้” คุณแม่ลูบหัวหวังหยวนเบาๆ เด็กหนุ่มยิ้มหวานก่อนที่จะหันไปรีเฟรชหน้าเว็บเหมือนเดิม

ใกล้เข้ามาแล้วสินะ


5”

“4”

“3”

“2”

“1”

“Enter” หวังหยวนรัวปุ่ม Enter และ F5 ไปพร้อมกัน ดูไม่ได้ให้มันรู้ไปสิวะ
หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าจะได้เจอเชียนซีตัวจริง อนาคตของหนุ่มตระกูลหวังจะเป็นอย่างไรกันนะ

6220001128

名字 : 王源

土木工程系

清华大学

(Name : Wang Yuan
Department of Civil Engineering
Tsinghua University)

“แม่คร้าบบบบบ ผมติดชิงหวาครับแม่ ฮือออออออ” หวังหยวนดีใจจนโผกระโดดเข้าไปกอดแม่พี่ชายและคุณพ่อที่ได้ยินเสียงหวีดร้องก็เข้ามาในห้องแสดงความยินดีด้วย ทั้งสี่คนกอดกันกลม คุณพ่อก็แอบน้ำตาไหลเมื่อได้เห็นความสำเร็จของลูกชายคนเล็กที่ตั้งใจมานานเป็นเวลาสองปี

“ไอ้เปี๊ยกนี่ไม่ธรรมดาเลยว่ะ เย็นนี้เฮียจะพาไปเลี้ยงหม้อไฟชุดใหญ่ไฟกระพริบแล้วต่อด้วยปิงซูด้วยเลยเอ้า” เก้อเกอของบ้านขยี้ผมน้องชายแรงๆด้วยความเอ็นดู หวังหยวนตาลุกวาวเมื่อเกอพูดถึงเรื่องของกิน ร้อยวันพันปีไม่เห็นจะเลี้ยงเขา วันนี้มาเลี้ยงเฉย สงสัยจะปลื้มใจน้องชายอยู่ไม่น้อย

“เงินเดือนออกแล้วหรอเฮีย” ผู้ที่เป็นน้องชายเอ่ยแซว เก้อเกอยักไหล่เป็นการตอบรับ

“ไปกันให้หมดเลยครับสี่คน เดี๋ยวหยางเลี้ยงเองครับวันนี้” หวังหยางหยางยืดอกพร้อมอาสาเป็นคนที่พาไปเลี้ยงงานนี้เอง คุณพ่อ คุณแม่และน้องชายต่างก็หัวเราะให้กับท่าทางตลกๆของผู้ชายอันดับที่สองของตระกูลหวัง

พอตกเย็น คุณพ่อ คุณแม่ หวังหยวนก็ออกไปทานหม้อไฟตามที่พี่ใหญ่ของบ้านได้สัญญาไว้ ทั้งสี่คนคุยตามประสาคนในครอบครัว ระหว่างนั้นเฟรชชี่ชิงหวาต้าก็นึกถึงศิลปินคนโปรดขึ้นมา เจ้าตัวรีบหยิบมือถือขึ้นมาเช็คข่าวทันที

“ตัวอย่างเยาวชนแห่งชาติ อี้หยางเชียนซี สอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังอย่างเป่ยต้าได้สำเร็จ” พออ่านพาดหัวข่าวจบ รอยยิ้มกว้างๆก็ปรากฏบนใบหน้าหวานทันที ความหวังเล็กๆที่แอบคิดไว้ในใจเป็นจริงแล้วหนึ่งอย่าง หวังหยวนนั่งเขี่ยมือถือตามข่าวนักร้องคนโปรดไปยิ้มไป จนพี่ชายที่นั่งอยู่ข้างๆนั้นชะเง้อหน้าเข้ามาดู

“ไงไอ้เปี๊ยก ชอบเชียนซีหรอ” หวังหยวนสะดุ้งโหยงแล้วกดปุ่มล็อคหน้าจอทันที หันหน้ามามองพี่ชายแล้วก็ยิ้มเขินๆ

“เนี่ย เจ้าหยวนมีเชียนซีเป็นไอดอลเลยนะหยาง แม่ก็เห็นเชียนซีตามข่าวบันเทิง เขาดูเรียนเก่งและมีความรับผิดชอบมาก หยวนเลยเอาเป็นแบบอย่าง จนสอบได้ชิงหวาต้าเลยนะ” หยางหยางพยักหน้าเข้าใจ ปกติเขาก็ไม่ค่อยรู้เรื่องส่วนตัวน้องชายสักเท่าไหร่ เพราะเขาทำงานอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ นานๆถึงจะกลับบ้านครั้งหนึ่ง ช่วงนี้เป็นช่วงวันหยุดยาวของบริษัท หยางหยางเลยได้กลับบ้านมาอยู่กับครอบครัว

“เออ เด็กนี่ก็หน้าตาคล้ายผมด้วยแฮะ เอ้ย คล้ายผมผสมกับ...”

“อี้เฟิงเกอน่ะหรอเฮีย” หวังหยวนทำหน้าตาดี๊ด๊าใส่พี่ชาย หยางหยางตกใจเอาศอกกระทุ้งแขนน้องไปหนึ่งที เด็กนี่ดันไปรู้ความลับของตัวเองได้ไง หรือว่าจะแอบเล่นเฟสบุ๊คไปกดว้าวให้ทุกรูป

“แฟนลูกหรอหยาง น่ารักดีนะ หยวนเอารูปมาให้ดูบ่อยๆ” หยางหยางตกใจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า หวังหยวนแอบเล่นเฟสบุ๊คแล้วแอดเขาเป็นเพื่อนหรอเนี่ย คนเป็นพี่ยิ้มแหยๆพร้อมกับพยักหน้าเป็นการยอมรับ เจ้าตัวแอบใช้สายตาเขม็งมองไปที่น้องชายที่ยิ้มหวานให้ หนอย น้องชายตัวแสบ หัดทะลายกำแพง vpn มาเล่นเลยหรอ สมแล้วที่เป็นเด็กชิงหวา

“เดี๋ยวคอยดูเถอะ ถ้าแกมีแฟนเมื่อไหร่ ฉันจะไปกดว้าวให้ทุกรูป เอาให้ตกใจกันไปข้าง” หยางหยางชี้หน้าหวังหยวน เด็กหนุ่มยิ้มเยาะเย้ยและหันไปจิ้มลูกชิ้นในหม้อไฟหม่าล่ากินต่ออย่างเอร็ดอร่อย

เดี๋ยวผมคบกับเชียนซีเมื่อไหร่จะลงรัวๆเลย

ความคิดนี้โผล่ขึ้นมาในหัวของหวังหยวนอีกครั้ง แล้วก็ทำให้เจ้าตัวใจสั่นและคิดไกลไปถึงตอนเปิดเทอม ว่าเขากับเชียนซีนั้นจะได้เจอกัน ถึงแม้โอกาสที่จะได้คุยกันต่อหน้ามันจะเป็นไปได้น้อยมาก แต่เขาเชื่อว่า ยังไงมันก็เกิดขึ้นได้นี่นา

หลังจากที่กินหม้อไฟต่อด้วยปิงซูเสร็จเรียบร้อย หวังหยวนเข้าห้องมาเพื่อที่จะอาบน้ำเตรียมตัวนอนยาวๆเป็นครั้งแรกในรอบปี จู่ๆก็ได้ยินเสียแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ เขาหยิบขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเปิดดู

“การโทรด้วยเสียงถูกยกเลิกโดย จู่เอ๋อร์” เพื่อนสนิทของเขาคอลมาหา หวังหยวนเห็นแล้วก็รีบคอลกลับทันที สงสัยว่าจะคอลมาคุยเรื่องผลสอบเข้ากัน

“ว่างไงจู่เอ๋อร์ เธอสอบได้ที่ไหนน่ะ ที่เดียวกับจวิ้นข่ายเกอไหม” พอสิ้นสุดคำว่าจวิ้นข่ายเกอ คนปลายสายก็สะอื้นทันที ทำหวังหยวนหน้าเหงาหงอยไปด้วย สงสัยเธอจะชวด Beijing Film Academy ที่จวิ้นข่ายเกอ ไอดอลคนโปรดของเธอเรียนอยู่แล้วสินะ

“ฮือ เราสอบไม่ติดอ่ะหวังหยวน เราหล่นไปอยู่ที่ Shanghai Jiao Tong อ่ะ คณะนิเทศ  ฮือออ”

“ไม่เป็นไรนะ ยังไงถ้าดวงมันจะเจอมันก็ได้เจอ” หวังหยวนพูดปลอบใจเพื่อนสนิท พอพูดจบจู่เอ๋อร์ก็ร้องไห้โฮยิ่งกว่าเดิม แสดงว่าเธอก็ตกอยู่ในสถานะเดียวกัน ถ้าเขาไม่ติด เขาก็คงร้องไห้ไม่ต่างกันเท่าไหร่

“นายติดชิงหวาใช่ไหม ตอนนี้กลุ่มวีแชทของสภานักเรียนคุยเรื่องนี้กันว่อนเลย เพราะนายติดคนเดียวทั้งโรงเรียน ดีใจด้วยนะ จะได้ไปหาเชียนซีทุกวันแล้ว” หวังหยวนอึ้งกิมกี่ นี่เขาต้องโซโล่ไปเรียนที่ชิงหวาต้าคน
เดียวสินะ ปกติรุ่นพี่จะมีคนสอบได้ปีละ 2-3 คน ปีนี้เขาดันสอบได้คนเดียวไปอีก

“อื้ม ขอบใจมากนะจู่เอ๋อร์ ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นจริงได้สักแค่ไหนกัน เอาวะ แต่ก็ลองดูสักตั้ง”

“ขอให้สมหวังนะ เดี๋ยววันอังคารนี้เจอกัน ฉันจะฝากของของฉันไปให้รุ่นพี่จวิ้นข่ายด้วย นายช่วยฉันหน่อยนะ”

“ได้เลย เจอกันวันอังคารๆ” หวังหยวนวางสาย เอนตัวแผ่ลงบนเตียง มือเรียวเลื่อนเขี่ยมือถือตามข่าวศิลปินคนโปรด จนมาพบคลิปหนึ่งที่เชียนซีอัดไว้เพื่อให้กำลังใจเพื่อนๆที่พลาดหวัง แคปชั่นบอกว่าให้สู้ๆต่อไป ชีวิตของคนเราไม่ได้จบอยู่แค่การสอบเกาเข่าเท่านั้น หวังหยวนยิ้มกว้างและกดเข้าไปดู วันนี้เชียนซีเซ็ตผมด้วย นิ้วเท้าน้อยๆจิกเข้าหากันด้วยความเขินอาย

“ผลการสอบออกมาแล้ว ผมได้เป่ยต้าตามที่ผมเคยพูดไว้ครับ ใครที่สอบติดผมก็ขอยินดีด้วยนะครับ ส่วนใครที่ไม่ติดก็ไม่ต้องเสียใจไป ชีวิตของเราไม่ได้จบอยู่ที่แค่เกาเข่า โอกาสยังมีอีกมาก ขอให้ทุกคนตั้งใจและพยายามต่อไป รุ่นน้องก็ด้วย ตั้งใจอ่านหนังสือนะครับ เจียโหย่ว”

“พออยู่เป่ยต้าแล้วจะหล่อยังไงก็ได้หรอ” แฟนบอยฉงชิ่งพูดกับมือถือของตัวเอง เจ้าตัวรีบกดดาวน์โหลดคลิปเพื่อนเก็บไว้ในเครื่องตามประสาแฟนคลับ นั่งดูวนไปจนลืมไปเลยว่าต้องอาบน้ำนอน เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นของหม้อไฟหมดแล้ว


“ไว้เจอกันที่ปักกิ่งนะ ฝันดีนะครับเชียนซี” ก่อนที่จะไปอาบน้ำ หวังหยวนก็พิมพ์ข้อความทิ้งไว้ในกล่องข้อความของเชียนซี ถึงแม้ว่ามันจะยากมากที่จะเห็นข้อความของเขาที่ส่งไป แต่แฟนบอยคนนี้ก็ถือซะว่าศิลปินที่รักนั้นรับรู้ก็แล้วกัน

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Talk : สวัสดีค่า หลังจากที่หายหน้าหายตากันไปนาน ตอนนี้มาอัพเดทฟิคกันแล้วนะคะ เป็นพล็อตที่คิดได้กระทันหันแล้วลงมือเขียนทันทีเลยค่ะ ฮ่าๆๆ เป็นเรื่องที่อาจจะได้เห็นทั่วไปในกลุ่มแฟนด้อม ประจวบกับนึกถึงคลิปเชียนซีที่บอกว่าอยากจะเข้าเป่ยต้าพอเลย ก็เลยอยากหยิบมาเขียนค่ะ ฮ่าๆๆ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปฝากติดตามด้วยนะคะ แสดงความคิดกันได้ที่ #RealityQY ขอบคุณค่ะ 

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2560

[Fic] #KaiQian - Drug for Daily Love ep.7




-7-





Qianxi’s part

และแล้วเวร OPD ก็วนมาถึงอีกรอบ

บรรยากาศในห้องยาเต็มไปด้วยความวุ่นวายเหมือนเดิมครับ พี่ๆก็วิ่งกันหัวร้อนทั่วห้องเลย ส่วนผมนั่งเช็คยาในตะกร้าที่จัดไว้เพื่อความแน่ใจ และผมก็ได้พบกับชื่อคนไข้ที่คุ้นเคย  สรุปว่าวันนี้คุณจวิ้นข่ายเข้ามาหาหมอจริงๆสินะ

แล้วเค้าจะเอาเมล่อนมาให้จริงๆไหมเนี่ย

ผมแอบชะเง้อมองไปดูข้างนอก ก็ไม่เห็นเค้านั่งรอ แสดงว่าคงออกไปกินข้าวแน่ๆ

“เอ้า เชียนซี ไปประกาศชื่อคนไข้แทนพี่ที พอดีพี่ต้องรับลูกไปทำพาสปอร์ตน่ะ พอดีจะไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน เดี๋ยวพี่ทำหน้าที่ตรงนี้แทนให้ อีกไม่กี่ชุดใช่ไหม”

“นิดหน่อยเองครับ เดี๋ยวผมทำแทนให้ พี่ไปเลยก็ได้นะ” รุ่นพี่เดินเข้ามาขอความช่วยเหลือผม ผมก็ยินดีครับ เรื่องเล็กๆน้อยๆก็ช่วยเหลือกันไป แต่ติดอยู่อย่างนึง วันนี้ผมเสียงแหบไปหน่อยครับ พอดีเป็นหวัด ฮ่าๆๆๆ

H921เชิญรับยาที่ช่อง 2 ครับ” ประกาศไปประกาศมาจนมาถึงชื่อคุณจวิ้นข่าย เจ้าของชื่อนี่เดินยิ้มร่าเริงมาเชียวครับ ผมเห็นแล้วหมันไส๊หมันไส้มากๆ

“เสียงหล่อดีจริงเชียวเภสัชคนนี้ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ” คุณจวิ้นข่ายยื่นหน้ามามองผม หน้าเค้านี่กลมจนเต็มประตูช่องยาเลยนะครับ แถมฉีกยิ้มจนเห็นเขี้ยวทั้งหมดอีก แหม่...อยากจะโบกกกก

“ครับ นี่ยานะครับ เหมือนเดิมทุกอย่าง คงไม่ต้องทวนแล้วเนาะ” ผมจัดการเอายาใส่ถุงแล้วก็ยื่นให้กับคนไข้จอมแสบ

“ทวนก็ดีนะครับ อยากฟังเสียงงงง” ยังจะมาทำน้ำเสียงกวนโอ๊ยอีก นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นคนไข้นะ ผมคงด่าไปแล้ว แต่ก็นะ...

“เมื่อกี้ก็ฟังไปแล้วไงครับ” ผมเริ่มชักสีหน้านิดๆ ตานั่นคงรู้แล้วล่ะครับว่าผมเริ่มหงุดหงิดและ

“อ่าๆๆ ดูท่าทางอารมณ์คงจะบูดแล้ว ผมไม่กวนละ สู้ๆนะครับ แล้วเจอกันใหม่น้า เอ้อ ผมลืม นี่เมล่อนตามสัญญาครับ ทานหลังข้าวกลางวันแล้วจะชื่นนนนนใจ” พูดจบเค้าก็ส่งเมล่อนที่ปอกเสร็จสรรพมาให้ผม เสียงกร๊อบแกร๊บของถุงทำให้รุ่นพี่ที่อยู่ข้างๆผมอมยิ้มแบบมีเลศนัย โอ้ย จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนครับเนี่ยเชียนซี

“เอ่อ ที่จริงผมก็แค่กดไลค์ไปตามมารยาทเท่านั้นแหละครับ คุณก็มาถือสาอะไรผม แต่ก็ขอบคุณมากนะครับ”

“แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว ไว้เจอกันคราวหลังนะครับ บ๊ายบาย” สิ้นเสียงคำว่าบ๊ายบาย ผมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เฮ้อ มาผิดเวลาไปมากๆ ถ้าเจอกันนอกรอมก็จะไม่อะไรเลยนะ แต่นี่มันเวลางาน แล้วพี่ๆก็ยังอยู่กันเกือบทุกคน ผมนี่จะแก้ข่าวยังไงครับ

“เชียนซี เพื่อนหรือแฟนอ่ะ” พูดไม่ทันขาดคำก็มีข่าวให้ผมแก้ซะแล้ว โอ้ย พี่สาวที่ยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อกี้หันมาถามผมด้วยสีหน้าที่อยากรู้มาก

“เพื่อนครับ”

“แล้วไป หล่อดีอ่ะ เพื่อนชื่ออะไรหรอ” นั่น รังสีความฮอตของคุณชาวสวนเริ่มทำงาน ถามไม่เกรงใจคนหน้าตาดีที่อยู่ข้างหน้าพี่เล้ย เฮ้พี่สาว ผมก็หล่อเหมือนกันนะ
“หวังจวิ้นข่ายครับ”

“โอ้ย แค่ชื่อก็หล่อแล้วอ่ะ ไว้วันหลังพี่ค่อยมาถามเชียนซีต่อนะ แหม่ เห็นผู้ชายหล่อล่ะไม่ได้เชียวนะพี่” อ้าว แล้วชื่ออี้หยางเชียนซีมันไม่หล่อหรอ แอบน้อยใจนะครับเนี่ย ฮ่าๆ ผมพูดเล่นน่ะครับ

บทสนทนาจบลง ต่างคนก็ต่างทำงานจนถึงเวลาพักกลางวัน ผมก็ไปทานข้าวและก็ไม่ลืมที่จะหยิบเมล่อนถุงนั้นติดมือไป แต่เอ๊ะ มีโพสอิทแปะมาด้วย นั่งอ่านสักหน่อยดีกว่า

“ทานให้อร่อยนะครับ ผมปอกเองกับมือ ถ้าเค็มก็อย่าแชทมาด่าผมก็แล้วกัน ฮ่าๆ” หวังจวิ้นข่าย

บ้าเอ้ย ผมอ่านโพสอิทนั่นแล้วแอบขำ ผมไม่เคยเจอใครที่กวนส้น...ขนาดนี้มาก่อน

ผมพับโพสอิทนี้ใส่กระเป๋าตัง ซุกมันไว้ในช่องหลังรูปติดบัตรของผม

แปลก...ทำไมผมไม่เขวี้ยงมันทิ้งถังขยะนะ ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบอะไรไร้สาระ ว่าแล้วก็หยิบมันขึ้นมาทบทวนความคิด แต่พอมือจะขยำ ภาพรอยยิ้มและแววตาแมวๆของคุณจวิ้นข่ายก็เข้ามาในหัวของผม

มันเป็นยิ้มที่บริสุทธิ์...ผมรู้สึกนะ

ในเมื่อผมเปิดใจรับเค้า ผมควรซื่อสัตย์กับเค้าทั้งต่อหน้าและลับหลัง

และผมอมยิ้มแล้วก็พับโพสอิทเก็บเอาไว้ที่เดิม นี่เราได้เพื่อนใหม่ หรือได้...

ไม่ใช่หรอกมั้ง คิดมากหน่าเชียนซี

ทานข้าวกลางวันกันเถอะครับ ช้าไปกว่านี้เดี๋ยวเมล่อนจะไม่อร่อย ฮ่าๆ

Junkai’s Part

ภารกิจสำเร็จ เมล่อนที่ตัดออกมาจากสวนใหม่ๆส่งถึงมือคุณเภสัชเรียบร้อยแล้วครับ ผมไม่รู้นะว่าเค้ามากดไลค์หมายความว่าเค้าอยากกินรึเปล่า แต่ก็นะ กดไลค์ขนาดนั้น รับของไปขนาดนี้ ดูท่าทางเค้าเปิดใจกับผมบ้างแล้วล่ะ

ผมนี่ก็ว่างมาก ไม่ยอมกลับบ้าน มาแอบดูคุณเภสัชเค้ากินข้าวกลางวันเนี่ยนะ

ผมนั่งอยู่ข้างหลังเค้าแบบไกลๆแต่เยื้องๆมาให้เห็นมุมด้านข้าง ผมก็เห็นเค้าดึงโพสอิทมาอ่านแล้วเก็บในกระเป๋าตัง โอ้ยยยยยย  ตัวนี่แทบลอย แล้วยิ่งพอมาเห็นตอนคุณเค้ายิ้มจนลักยิ้มมันบุ๋มลงไป โอ้ย ใจผมนี่อยากจะลงไปดิ้นกับพื้นแล้ว หัวใจนี่เต้นรัวๆไม่หยุดเลยครับ

แต่หัวใจเต้นรัวๆได้ไม่นาน ก็ต้องหยุดชะงัก ดูเหมือนคุณเภสัชจะขยำโพสอิททิ้ง รอยยิ้มของผมก็จางหายไป...

อย่าทำกันแบบนี้สิ...

ตอนนี้ผมแทบอยากจะลุกเดินออกไปจากที่นี่แล้ว แต่เอาวะ รอดูละกันว่าจะทำยังไงต่อไป...

กึ่ก...

ปรากฏว่าคุณเภสัชพับโพสอิทของผมกลับลงไปในกระเป๋าตังเหมือนเดิม โว้ยยยยยยยยยยยยยย ผมนี่ดีใจจนทุบโต๊ะรัวๆ แต่เสียงไม่ดังครับเดี๋ยวคนอื่นเค้าจะด่าผมเอา

คุณเภสัชนิสัยไม่ดี ชอบปั่นหัวผมให้เป็นไบโพล่าร์เนี่ย สนุกหรอครับ ตอบโผ้มมมมม

เฮ้อ ดีใจจัง อย่างน้อยในเรื่องเล็กๆที่ผมทำให้เค้าก็ดูใส่ใจ ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเลย

ผมนั่งมองคุณเภสัชทานข้าวจนหมดจาน แล้วก็นั่งเอาไม้จิ้มเมล่อนของผมกินอย่างเอร็ดอร่อย ฮือ ตอนคุณเค้ากินข้าวนี่เหมือนเด็กเลย กินทุกคำก็จะมีเม็ดข้าวติดอยู่ที่มุมปากตลอด แล้วตัวเองก็คอยเช็ดไปเรื่อยๆ ฮือ น่ารักที่สุด

ชักไม่อยากจะเป็นเพื่อนแล้วสิ

เดี๊ยวววว หวังจวิ้นข่าย นายคิดอะไรอยู่ ส่ายหัวไล่ความคิดออกไปเดี๋ยวนี้ !!!!

พอคุณเภสัชทานข้าวเสร็จ เค้าก็เดินกลับไปทำงานอย่างรวดเร็ว ผมก็ไม่รอช้า......ไปซื้อของที่ห้างสิครับ ทำงานทำการบ้างโว้ยยยย

ผมช็อปปิ้งของเข้าบ้านอยู่หลายชั่วโมง เพราะผมต้องเดินดู เลือกอุปกรณ์ซ่อมแซมโรงเรือน อุปกรณ์ทำสวน ไหนจะต้องสั่งซื้อนู่นนี่นั่นที่ขาด ซื้อกะปิน้ำปลาของใช้ในบ้าน ก็กินเวลาไปเท่าเวลานอนแล้วครับ โอ่ย ออกจากห้างมาก็พบว่าฟ้าก็เริ่มมืด จะขับรถรอดมั้ยน้อ

ไม่เสี่ยงดีกว่าครับ ผมขอเช่าโรงแรมนอนสักคืนนึง แล้วค่อยกลับบ้านพรุ่งนี้เช้าก็แล้วกัน

จัดการเรื่องโรงแรมเสร็จสรรพ ผมก็ว่างอีกรอบ อยู่ในห้องมันก็เบื่อก็เลยเดินออกมาตากอากาศข้างนอก ดูผู้คนไปเรื่อยๆ อากาศช่วงนี้เริ่มเย็นๆแล้วครับ โชคดีวันนี้ผมใส่เสื้อแขนยาวมา เลยไม่ค่อยสั่นเท่าไหร่

เดินเปื่อยๆมันก็เบื่อ ไปห้างดูหนังสักเรื่องดีกว่า

พอคิดได้ก็มุ่งตรงไปที่โรงหนังทันที ช่วงนี้อยากดูการ์ตูน ไม่รู้เป็นอะไรครับ จู่ๆก็อยากเด็กขึ้นมาเฉ๊ย

“เอ่อ Zootopia รอบ 19.30 Deluxe Seat 1 ที่ครับ” น้องคนขายตั๋วมองหน้าผมแปลกๆ อ้าว คนวัยทำงานจะดูการ์ตูนไม่ได้หรือครับ

“พี่จะนั่งตรงไหนคะ” อืมม...เวลาผมเลือกแถว ผมจะเลือกแถวหลังสุดใกล้กับ VIP Seat เหตุผลเพราะประหยัดครับ จ่ายราคาน้อยกว่าแต่ก็ได้ดูเหมือนๆกับ VIP ฮ่าๆๆ

F7 ก็แล้วกันครับ” ที่นั่งดูห่างจากชาวบ้านดี ถัดจากผมไปประมาณ 8 เก้าอี้ก็มีคนจองไว้ที่นึง สงสัยคงเป็นคอการ์ตูนวัยทำงานเช่นกัน ฮ่าๆๆๆ

จ่ายเงินเสร็จสรรพ ตอนนี้ก็ทุ่มสิบห้าแล้ว ซื้อป็อบคอร์นไปนั่งกินในโรงหนังรอดีกว่า
แล้วเวลาที่หนังฉายก็มาถึง เนื้อเรื่องดำเนินไปได้อย่างไม่น่าเบื่อ ผมนี่ดูเพลินมาก มือก็ตะกุยหยิบป็อบคอร์นพร้อมกับน้ำโค้กสลับกัน บางตอนที่ตลกมากๆผมที่แทบสำลักน้ำ ฮ่าๆๆๆๆ

จู่ๆผมก็ละสายตาจากจอเงินหันมาดูคนข้างๆ ดูซิว่าจะเป็นยังไง


เฮ้ย!!!!! นี่มันคุณเภสัช !!!!!!!


ผมไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหมว่าคนข้างๆเป็นคุณเค้าจริงๆ
แทนที่ผมจะดูหนังต่อ สายตาของผมก็หันไปทางเค้าตลอดเวลา อย่าเรียกว่ามองเลยครับ เรียกว่าจ้องเลยดีกว่า แต่เค้าก็ไม่รู้ตัวนะครับ สมาธิยังคงจดจ่ออยู่ที่หน้าจออยู่ เรียกว่าแทบไม่ละสายตาเลยครับ ถึงขนาดเปลี่ยนอิริยาบถมานั่งเท้าคางมองเค้าเลย

ช่วงเวลาที่เค้าหัวเราะนั้น หัวใจของผมเต้นรัวๆ เผลอยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ ลักยิ้มบุ๋มๆนั่นมีอิทธิพลต่อจิตใจผมเหลือเกิน พอหนังดำเนินมาถึงฉากซึ้ง คุณเภสัชแอบน้ำตาคลอด้วยครับ ฮือออ จะอินอะไรขนาดนั้น จิตใจของเค้าอ่อนไหวขนาดนั้นเลยหรอ

ภายนอกดูแข็งกร้าวดั่งหินผา แต่ภายในอ่อนไหวดั่งสายลม

ผมรู้สึกว่าเค้าเป็นคนที่น่าค้นหามาก หลากหลายบุคลิกรวมอยู่ในตัวของคนที่ชื่ออี้หยางเชียนซี หันไปมองหน้าจอ หนังใกล้จบแล้ว รีบออกไปดักคุณเภสัชข้างหน้าโรงหนังดีกว่า

“แฮร่ ดูหนังรอบเดียวกันเลยนะครับ” ผมกระโดดออกมาจากมุมเสามาตรงหน้าคุณเภสัช คุณเค้าตกใจจนอุทานออกมาเลยครับ

“ชิบหา--- คุณตามผมมาหรอ!!!” ทำหน้าตาตกใจระดับ 10 ริกเตอร์ ผมนี่ส่ายหัวรัวๆ

“ไม่ใช่ครับ ผมมาดูหนังแก้เซ็งเฉยๆ พอดีไปซื้อของเข้าบ้านอ่ะ ช็อปเพลินเลยกลับดึกครับ กะนอนที่นี่คืนนึง กลัวว่าขับรถกลับบ้านจะไม่ปลอดภัยน่ะ” ผมพูดเจื้อยแจ๊ว

“แล้วไป” คุณเภสัชบ่นพึมพำพร้อมกับเอามือลูบท้อง สงสัยคงหิวข้าว

“เอ๊ะ ลูบท้องทำไมครับ”

“อ่อ ผมหิวน่ะ คุณอยู่ที่นี่มานานช่วยแนะนำหน่อยสิ” อย่างนี้เค้าเรียกว่าจะให้พาไปกินโดยอ้อมๆรึเปล่า
ครับ โอ้ย ผมก็คิดไกลเกิ๊นนน

“รู้สิครับ ไม่ต้องให้ผมบอกหรอก เดี๋ยวผมพาไปกิน เป็นร้านเสี่ยวเมี่ยนข้างทาง อร่อยมากเลยครับ เวลาที่
ผมมาพักในเมือง ผมกินประจำเลยแหละ คุณชอบทานมั้ย”

“ได้หมดเลยครับ ขอบคุณมาก” คุณเภสัชยิ้มบางๆให้ผม โอ่ย หัวใจกระตุก ฮืออออ

ว่าแล้วเราสองคนก็ออกจากห้างไปพร้อมกัน เดินเลียบฟุตบาทไปเรื่อยๆ  อากาศเริ่มเย็นลง คุณเภสัชยกมือขึ้นมาจากเสื้อโค้ทมาถูๆกัน และเอามาวางไว้บนแก้มทั้งสองข้าง ทำอย่างนี้ซ้ำๆไปได้สักพัก จนผมเห็นแล้วทำตามบ้าง สงสัยจังว่าทำไปทำไม แต่ลองๆทำตามดูก่อนละกัน ค่อยถาม ฮ่าๆ

พอผมเอามือที่ถูกันมาแนบแก้ม เฮ้ย รู้สึกอุ่นดีจังเลยแฮะ

“อีกไกลมั้ยครับกว่าจะถึง” คุณเภสัชหันหน้ามาถามผม จังหวะนั้นผมกำลังเอามือแนบแก้ม คุณเค้าหัวเราะออกมาเลยครับ ฮืออ ถูกจับได้พอดี

“เลี้ยวซอยหน้าก็ถึงแล้วครับ” ผมละมือออกจากแก้มขึ้นมาเกาหัวแทน เขินอ่ะ ฮ่าๆๆ

“อุ่นใช่มั้ยครับ ผมทำประจำเลย ที่ปักกิ่งหนาวยิ่งกว่านี้อีก”

“อ่า ผมไปปักกิ่งแค่สองครั้งเอง ที่จริงผมเป็นคนฉงชิ่งครับ แต่ว่าย้ายบ้านมาอยู่ชิงเต่า”

“มาทำสวนใช่มั้ย เห็นเค้าว่าขึ้นไปทางตอนเหนือมีปลูกเชอร์รี่ด้วยสิ บ้านคุณก็ต้องปลูกด้วยถูกมั้ย” โอ๊ะ คุณเภสัชมีการหาข้อมูล สนใจที่จะมาซื้อที่อยู่ข้างๆกันมั้ยครับ ><

“ปลูกครับ แต่สวนผมไม่ได้เน้นอะไร ปลูกผสมๆกันไปน่ะ เน้นความหลากหลาย ว่างๆมาเที่ยวก็ได้นะครับ บ้านผมอยู่ติดเขา ธรรมชาติสุดๆ” ได้โอกาสก็ชักชวนเลยครับ คุณเภสัชพยักหน้าแล้วก็ยิ้มบางๆให้อีกรอบ 
แหม หวังจวิ้นข่ายนี่ได้โอกาสก็เนียนตลอด อยากตีตัวเองเหมือนกัน

พอจบบทสนทนานี้ก็ถึงร้านเสี่ยวเมี่ยนของผมพอดี ผมเดินเข้าไปหาแปะสั่งเสี่ยวเมี่ยนจานโปรดมาสองที่ คุณเภสัชหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้สีแดง สองมือของเค้าซุกไว้ในกระเป๋าของเสื้อโค้ท นั่งมองแปะที่กำลังผัดบะหมี่อย่างชำนิชำนาญ

“เมื่อกี้แปะบอกว่าของแกใกล้หมดแล้ว เราโชคดีมากที่มาได้ทันพอดี ฮ่าๆ” ผมนั่งลงพร้อมกับเทชาร้อนลงในจอกที่วางบนโต๊ะให้คุณเภสัช คุณเค้าค่อยๆยกมันขึ้นมาดื่มทีละนิดๆ

“จริงครับ เดี๋ยวก็ได้ลองละ” คุณเภสัชตอบ ผมยิ้มให้เค้าก่อนที่จะเดินไปเอาบะหมี่ไปตามเสียงเรียกของแปะ เสี่ยวเมี่ยนผัดเสร็จแล้ว หอมน่าทานมาก

“อ่ะครับ ไม่อร่อยผมอนุญาตให้คุณเภสัชเอาเท้ามาแนบหน้าผมเลยเอ้า” ผมพูดติดตลก คุณเภสัชเผลอขำออกมาด้วย ลักยิ้มกระจึ๋งนึงของเขาโผล่มาอีกแล้ววว คนสวนชื่นใจ
ก่อนที่ผมจะกินผมก็นั่งมองคุณเภสัชทาน บะหมี่ผัดคำแรกเข้าสู่ปากของคุณเค้า ยังไม่ทันได้เคี้ยวครบ สีหน้าของเค้าก็เริ่มเปลี่ยนไป ตาเริ่มโต เคี้ยวเริ่มถี่แล้วคีบคำต่อไปใส่ปากอย่างไม่ลังเล

“สงสัยผมคงไม่ได้เอาเท้าแนบหน้าคุณแล้วนะครับ ฮ่าๆ อร่อยจริงๆ” คุณเภสัชพูดจบก็กินอย่างเอร็ดอร่อย กินจนซอสที่ผัดมากับบะหมี่ติดที่มุมปากเหมือนตอนที่กินข้าวตอนกลางวันเลยครับ ว่าแล้วผมก็หยิบทิชชู่ในกระเป๋าขึ้นมายื่นให้คุณเภสัช

“หื้ม ให้ผมทำไมครับ แล้วทำไมคุณไม่กินสักทีล่ะ”

“ปากคุณเลอะ เช็ดหน่อยสิ กินเหมือนเด็กมากอ่ะ ฮ่าๆๆๆ” คุณเภสัชทำหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะรับทิชชู่ไปเช็ดปากเบาๆ พอเช็ดเสร็จมือก็ขยำทิชชู่อย่างแรง เฮ้ย ผมแค่แซวเล่นหน่า ฮ่าๆๆๆ

“คุณว่าอะไรนะ ผมเหมือนเด็กงั้นหรอ” สีหน้าขึงขังเริ่มปรากฏให้เห็นได้ชัด ผมหัวเราะกับท่าทางของคุณเค้า เหมือนเด็กที่ถูกล้อแล้วเถียงเพื่อนอ่ะ โคตรน่ารัก J

“ก็เด็กไง คุณอ่อนกว่าผมปีนึง”

“ยอมก็ได้ครับ เฮ้อ” คุณเภสัชเหมือนจะหมดคำเถียงแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินเสี่ยวเมี่ยนต่อไป ท่าที่กินข้าวก็เหมือนเด็กไปอีกเบื่ออาหารไปอีก

ผ่านไปได้สักพัก เสี่ยวเมี่ยนทั้งสองจานก็หมดลง คุณเภสัชควักเงินออกมาจะจ่ายให้ผม ผมบอกปฏิเสธไป มื้อนี้ป๋าจวิ้นจัดการเลี้ยงเองงงง

เราสองคนเดินไปเรื่อยๆเพื่อที่จะกลับบ้าน พอมาถึงริมแม่น้ำ คุณเภสัชก็หยุดเดินแล้วมองไปที่เก้าอี้ม้ายาวตัวนั้น

“อิ่มแล้วคุณจะกลับหอเลยมั้ยครับ”

“ยังครับ ผมว่าจะนั่งเล่นที่ริมแม่น้ำสักพักแล้วค่อยกลับ”

“นี่ก็ห้าทุ่มแล้วนะครับ” ผมก้มหน้ามองนาฬิกา คุณเภสัชเค้าส่ายหัวรัวๆ

“คุณอยากกลับโรงแรมก็กลับไปก่อนได้เลยครับ ผมนั่งคนเดียวได้”

“ไม่เอาครับ ผมจะนั่งเป็นเพื่อนคุณตรงนี้แหละ จนกว่าคุณจะกลับหอ” ใครเค้าจะอยากให้เพื่อน(?) นั่งอยู่คนเดียวกันล่ะครับ ถ้าปล่อยเค้าไปผมก็เป็นห่วงแย่เลย

“คุณจวิ้นข่าย วันนี้คุณก็เลี้ยงผมผมก็ขอบคุณมากแล้ว ไม่ต้องนั่งเป็นเพื่อนผมก็ได้” คุณเภสัชส่ายหัวอีกรอบ คิ้วสองข้างเริ่มขมวดเป็นปม ผมกดไหล่คุณเภสัชให้นั่งลงกับเก้าอี้ แล้วผมก็นั่งลงข้างๆตาม

“คุณมีเรื่องทุกข์ใจมั้ย ระบายให้ผมฟังได้นะ ผมสัญญาว่าจะเก็บไว้เป็นความลับ” ถ้าไม่มีอะไรแล้วจะมานั่งเรื่อยเปื่อยคนเดียวทำไมละ ผมอยากให้เค้าได้ระบายอะไรบ้างจะได้สบายใจขึ้น ผมยกนิ้วก้อยขึ้นมาสัญญา คุณเภสัชอมยิ้มแล้วก็ก้มหน้าลง

“ไม่มีจริงๆครับ ผมก็แค่อยากนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยสักพัก เดี๋ยวก็กลับแล้ว”

“งั้นเอางี้ ผมเล่าชีวิตที่อเมริกาให้คุณฟังดีกว่า เอามั้ย”

“ก็ดีนะครับ ผมก็อยากเล่าชีวิตในรั้วชิงหวาให้ฟังบ้าง” คุณเภสัชดูท่าทางจะสนใจอยู่ไม่น้อย แววตาเริ่มเป็นประกายขึ้น งือ น่ารักอีกแล้ว

“เป่ายิงฉุบกัน ว่าใครจะได้เริ่มก่อน”


ยัง ยิง เยา ปักกะเป่า ยิง ฉุบ


ผมออกกระดาษ คุณเภสัชออกค้อน

ผมเป็นคนเล่าก่อนสินะ ในใจอยากจะให้คุณเภสัชเล่าก่อนจุง ผมละอยากฟังมากกกก

“อ่า คุณจวิ้นข่ายชนะ เล่าเลยครับ” คุณเภสัชผายมือพอเป็นพิธี ผมนี่ขำกับท่าทางของเค้าอีกแล้ว ดูท่าทางก็ตลกใช่เล่นนะเนี่ย

"ขอนั่งคิดห้านาทีนะครับ" คุณเสัชพยักหน้า

ผมนั่งคิดสักพัก เรียบเรียงเรื่องราวทั้งชีวิตการเรียน สังคมตะวันตก สมาคมนักศึกษาจีนใน North Carolina และ...

ความรัก....

พูดถึงความรักแล้วมันก็เจ็บอยู่ลึกๆครับ แต่อดีตมันก็คืออดีต มันอยู่ที่ว่าเราจะจัดการยังไง Delete มันออกจากชีวิตหรือเก็บไว้ใน Recycle Bin ในสมองของเรา

แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่า...ความรักครั้งใหม่ของผมมันกำลังเกิดขึ้น

กับคนข้างหน้าหรือเปล่า...เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ J

 -----------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ารีเดอร์ที่น่ารักทุกท่าน ไรท์ห่างหายไปนานจากการแต่งเรื่องนี้ ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ วันนี้ฟิคของเราได้ดำเนินเรื่องมาถึงตอนที่ 7 แล้วค่ะ ความสัมพันธ์ของคุณชาวสวนและคุณเภสัชดีขึ้นเรื่อยๆเลย ไรท์เองแต่ไปก็เขินไปเหมือนกันค่ะ ฮ่าๆๆๆ ฉากกุ๊กกิ๊กก็เริ่มมีขึ้นแล้วนิดนึง และความหวานก็จะทวีเพิ่มขึ้นไปด้วค่ะ แอร้ยยยย ติดตาม สกรีมหรือติชมได้ในแท็ก #DrugDailyKQ เหมือนเดิมนะคะ ขอบคุณมากค่ะ :)