วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2559

[Fic] #KaiQian - Drug for daily love ep.3



-3-

Qianxi's part

ชื่อ : อี้หยางเชียนซี
ผลสอบ : สอบผ่าน
เลขที่ใบประกอบ : xxxxx

"เฮ้อ โล่งอกไปที จะมีงานทำละ"

หลังจากที่ผมเปิดดูรายชื่อผู้ผ่านการสอบใบประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ในใจผมคิดเลยว่า ยังไงผมก็จับฉลากใช้ทุนได้ที่ไกลๆแน่นอน ทำไมถึงมีลางสังหรณ์แบบนี้นะ จะว่าไปมันก็ดีที่ได้ไปอยู่ไกลบ้าน เราจะได้ทำอะไรด้วยตัวเองมากขึ้น การตัดสินใจทุกอย่างมันมาอยู่ที่ตัวเราทั้งหมด เหมือนได้ก้าวข้ามความเป็นวัยรุ่นออกมาสู่วัยผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว

ผมดูปฏิทินบนโต๊ะ เหลืออีก 4 วันแล้วสำหรับการจับฉลากใช้ทุน

ผลจะออกมาป็นอย่างไรก็ช่าง รพ. เล็กหรือใหญ่ ผมก็สามารถทำหน้าที่เภสัชกรได้ดีทั้งนั้น

ชีวิตมนุษย์เงินเดือนของเภสัชกรอี้หยางเชียนซี จะเริ่มต้นขึ้นแล้วล่ะ

และแล้ววันนั้นก็มาถึง

ผมและเพื่อนๆเดินทางมาที่คณะ พร้อมกับสวมชุดกาวน์สั้นสีขาวสำหรับเภสัชกร ต่างคนต่างตื่นเต้น เพราะว่าเพื่อนผมก็ไม่ได้อยากจะไปไกลจากปักกิ่ง มีผมที่แปลกที่สุด นิ่งกว่าเพื่อนทุกๆคน  เพราะผมทำงานได้ทุกที่ ไม่เกี่ยง

"เฮ้ยเอ็งไม่ตื่นเต้นเลยหรอวะ" เพื่อนสนิทผมหันมาถาม เธอคงสงสัยว่าทำไมผมไม่ตื่นเต้นเหมือนคนอื่นๆ

"ไม่เลยว่ะ ฉันทำได้หมดทุกที่"

"จ้าาาา คุณพ่อพระ" ผมโดนแซวแบบนี้เป็นประจำครับ เพราะผมเป็นคนที่ช่วยเหลือเพื่อนๆอยู่บ่อยครั้ง ทั้งการเรียนและกิจกรรมภายในคณะ จนเพื่อนๆตั้งฉายาให้ผมว่า พ่อพระเชียนซีเลยครับ

เอาละ งานจับฉลากใช้ทุนกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วครับ

จะได้ไปอยู่ทางเหนือ หรือทางใต้กันนะ

เพื่อนๆของผมทยอยกันต่อแถวจับฉลาก บางคนก็ได้ใช้ทุนอยู่ใกล้บ้าน ทั้งปักกิ่ง ทั้งเทียนจิน ส่วนบางคนก็ได้ไปอยู่ไกลถึงเฉิงตูหรือฉงชิ่งเลยทีเดียวครับ

เอาละ ถึงตาผมละ

"ขอให้โชคดีนะจ้ะ" อาจารย์กล่าวให้กำลังใจ ผมยิ้มให้ก่อนที่จะหยิบฉลากขึ้นมาแล้วส่งให้อาจารย์

"เภสัชกร อี้หยางเชียนซี รพ.ชิงเต่า"

ชิงเต่าเลยหรอ ไกลมากเลยนะครับนั่น อยู่ห่างจากปักกิ่งเกือบ700กิโลเมตร พ่อแม่และก็หนานหนานต้องคิดถึงผมแย่แน่ๆ แต่โชคดีนะครับที่ทุกวันนี้เทคโนโลยีก้าวไกลไปมาก วิดีโอคอลวันละหนึ่งครั้งก็หายคิดถึงแล้วครับ

หลังจากที่จับฉลากใช้ทุนเสร็จ ผมกับเพื่อนๆก็ไปกินเนื้อย่างกันเพื่อฉลองและปลอบใจไปพร้อมๆกัน ต่างคนต่างก็มีอารมณ์ที่หลากหลายกันไป ทั้งเฟลที่ไปไกลบ้าน และดีใจที่ได้อยู่ใกล้ๆ

วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่ได้อยู่พร้อมๆกันแบบนี้ ใจหายเหมือนกันนะครับ เวลา 6 ปีผ่านไปไวมาก ทุกคนต่างก็ต้องแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง ก็เป็นธรรมดาล่ะครับ มีขาวก็ต้องมีดำ มีหน้าก็ต้องมีหลัง ก็เช่นเดียวกันกับมีพบ ก็ต้องมีจาก มันหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว

ผมกลับบ้านมาให้สภาพที่มึนๆ เพื่อนมันต้องแอบใส่แอลกอฮอล์ลงไปในเป๊บซี่ที่ผมกินแน่ๆ ผมบอกพวกมันแล้วว่าไม่ดื่ม เพราะผมมึนง่ายมากๆ แต่พวกมันก็ชอบแกล้งผมแบบนี้ตั้งแต่ปี1 พอผมก้าวขาเข้าบ้านปุ๊บ ก็ทิ้งตัวลง ตากำลังจะเริ่มปิดแล้วครับ แต่คุณแม่ก็เข้ามาหาผมซะก่อน

"หน้าแดงเชียวลูก เพื่อนแอบใส่เหล้าลงไปอีกแล้วล่ะสิ"

"ครับ" ผมชันตัวเองขึ้นมา มือกุมขมับเพราะปวดหัวตุ๊บๆ คราวนี้พวกมันใส่ลงไปเยอะมากแน่ๆ คุณแม่เห็นท่าทางผมไม่ดี เลยรีบไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้ผม

"ไปไกลเชียวนะลูก แม่คิดถึงแย่เลย"

"เดี๋ยวผมคอลวิดีโอหาแม่ทุกวันเลยนะ"

"จ้าาาา ทำให้ได้นะ ไม่ใช่ไปตกหลุมรักใครก่อนจนลืมแม่ล่ะ" ดูคุณแม่ทักผมสิครับ เล่นเอาไปไม่เป็นเลย

ผมจะไปรักใครเป็นล่ะครับ ในเมื่อผมไม่เคยมีความรัก ตลอดอายุ 24 ปีของผม

ไม่มีโมเม้นนั่งคิดถึง คอลหา หรือว่าแอบมองใครสักคน

ผมอาจจะเป็นคนด้านชากับความรักก็ได้นะ

เพื่อนของผมชอบมาปรึกษาเรื่องความรัก ทั้งแอบชอบ อกหักรักคุด หลากหลายปัญหาครับ ผมก็ตะเพิดพวกมันไปหลายต่อหลายรอบว่าอี้หยางเชียนซีคนนี้ไม่เคยมีความรัก พวกมันก็ไม่ฟัง ผมก็ไม่สามารถอธิบายหรือให้คำปรึกษาได้ ทำได้แค่เป็นคนรับฟังพวกมันเท่านั้น

ช่างเถอะครับ อนาคตเราก็ไม่รู้ ทำหน้าที่วันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ 😊

วันรุ่งขึ้น ผมมาที่สนามบินกรุงปักกิ่ง เพราะวันนี้ผมต้องเดินทางไปชิงเต่าแล้วครับ ใจหายเล็กน้อย เพราะว่าจะไม่ได้เจอหน้าครอบครัวที่แสนน่ารักไปอีกหลายเดือนเลย

"เฮียของหนานหนานจะไปไหน" น้องชายของผมมาเกาะแขนของผมพร้อมใช้นิ้วเล็กๆตะกุย ผมย่อตัวลงนั่งคุยกับเจ้าตัวเล็ก ลูบหัวเบาๆ

"เฮียไปทำงานหาเงินซื้อจูจูตัวใหม่ให้หนานหนานไง" น้องชายของมชอบเล่นตุ๊กตาหมูมากครับ เวลาคุณพ่อออกไปทำงานที่ต่างประเทศทีไรก็ต้องซื้อตุ๊กตาหมูจากประเทศที่ไปตลอดเลยครับ ตอนนี้บ้านของผมกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาหมูนานาชาติไปแล้วมั้งครับ ฮ่าๆๆๆ

“เฮียต้องกลับมาหาหนานหนานบ่อยๆนะ” เด็กน้อยเอามือมาจับแก้มของผม ผมยิ้มออกมา แต่ดวงตาเริ่มบวมๆเล็กเพราะน้ำตามันกำลังจะไหล ไปทำงานนะไม่ได้ไปอยู่ถาวรสักหน่อย เดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้วเชียนซี

เหมือนจะทำใจได้แล้ว แต่มันก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไปกลับบ้านทุกวัน ไม่ได้นอนหอพัก เพราะว่าผมไม่ชอบการนอนแบบมีเมท ผมชอบความเป็นส่วนตัวมากๆ ถ้าเช่าหอนอกมหาวิทยาลัยอยู่ มันเปลืองมากๆ ห้องเล็กๆที่มีเฉพาะห้องนอนค่าเช่าก็สูงถึงเดือนละ 2000 หยวนแล้ว ผมไม่อยากให้ภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวมันมากขึ้น

“เฮีย ไหนเฮียบอกว่าเฮียไม่ชอบร้องไห้ไง” หนานหนานเอามือมาลูกที่ใต้ดวงตาผมที่มีน้ำตาไหลออกมา โฮฮฮ เด็กน้อย ทำแบบนี้เฮียจะยิ่งร้องหนักกว่าเดิมนะ

“เชียนซีลูก ไม่ต้องร้องไห้นะ พ่อแม่น้องยังไม่เห็นร้องเลย” คุณแม่ลูบหัวผมเบาๆ คุณพ่อก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคุณแม่ ขนาดคนที่อยู่ตรงหน้าทั้งสามคนยังไม่ร้องไห้เลย แล้วผมก็โตแล้ว ยังจะมาร้องไห้เป็นเด็กไปได้ ผมโผกอดคนที่ผมรักทั้งสามคนแน่นๆ คนที่เป็นกำลังใจทุกอย่างในชีวิตของผม คนที่ทำให้ผมเป็นอี้หยางเชียนซีคนนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ฮือออ ยิ่งกอดยิ่งบิวท์ให้น้ำตาไหล ไม่เอา เป็นผู้ชายต้องเข็มแข็งสิ

“ใกล้เวลาขึ้นเครื่องแล้วลูกเชียนซี ไปเช็คอินเถอะ” คุณพ่อบอกผม ผมก้มมองนาฬิกา ใกล้เวลาจริงด้วย ผมรีบกระชับกระเป๋าแล้วรีบไปที่เคาน์เตอร์เช็คอินทันที ก่อนที่จะเข้าไปในเกท ผมไม่ลืมที่จะบ๊ายบายคนที่ผมรักทั้งสามคน

เชียนซี ต่อจากนี้นายต้องอยู่ด้วยตัวเองแล้วนะ

เวลาผ่านไป 2 ชั่วโมง เครื่องบินก็แลนด์ดิ้งที่สนามบินชิงเต่า ผมจัดการหยิบกระเป๋าแล้วรีบเดินออกไปหารถเมล์เพื่อเข้าตัวเมืองทันที  ไม่มีใครมารับเลยครับ ต้องพึ่งพาตัวเองล้วนๆ

รถเมล์ขับเข้ามาในตัวเมืองเรื่อยๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ และตึกเก่าๆแบบยุโรป ให้ความรู้สึกเหมือนมาเที่ยวที่ออสเตรียหรือเยอรมันเลยครับ สวยมากๆ ชักไม่อยากจะทำงานแล้วอยากไปเที่ยวก่อน แต่ติดว่างานเริ่มพรุ่งนี้สิครับ และไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มเข้าเวรเลยไหม

“เอ้าๆ ลงได้แล้วพ่อหนุ่ม สุดสายแล้ว” เสียงของคุณลุงไล่ผู้โดยสารลงดังขึ้น ผมเพลิดเพลินกับวิวของเมืองชิงเต่าจนลืมไปเลยว่าถึงแล้ว โชคดีนะครับที่โรงพยาบาลอยู่สุดสายรถเมล์พอดี ถ้าไม่อย่างนั้นผมก็อาจจะหลงทางไปแล้วก็ได้

ผมเดินจากป้ายรถเมล์ไปเรื่อยๆจนถึงโรงพยาบาล ซึ่งหน้าโรงพยาบาลอยู่ริมแม่น้ำพอดี ตรงข้ามถนนอีกฝั่งเป็นทางเดินทอดยาวไปตลอดความยาวของแม่น้ำ มีต้นไม้และดอกไม้สีม่วงปลูกสลับๆกันไป และมีม้านั่งเอาไว้ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ

ทำไมเมืองนี้มันสวย สงบ และไม่วุ่นวายเหมือนปักกิ่งเลยนะ

ว่าแล้วก็ถ่ายรูปบรรยากาศริมน้ำนี้ส่งไปให้คุณแม่ชมสักหน่อย เพื่อว่าจะได้นั่งเครื่องมาเยี่ยมผมบ้าง อิอิ

หลังจากที่เก็บบรรยากาศส่งไปให้คุณแม่ชมให้ตาร้อนแล้ว ผมก็เดินเข้าไปหาคนที่ประสานงานแพทย์ ทันตแพทย์และเภสัชกรใช้ทุน เพื่อมารายงานตัวแล้วรับทราบหน้าที่ที่ผมต้องทำ

“เภสัชกรอี้หยางเชียนซีใช่ไหมคะ นี่คือหน้าที่ของน้องค่ะ น้องได้ประจำอยู่ที่ห้องยาผู้ป่วยนอกทุกวันจันทร์ พุธและศุกร์ และประจำอยู่บนวอร์ดเด็กทุกวันอังคารและพฤหัส ส่วนที่พักของน้องก็อยู่ที่หอพักแพทย์ไปก่อนนะคะ เพราะว่าห้องที่ว่างบนหอพักสำหรับพนักงานยังปรับปรุงไม่เสร็จค่ะ ตามนี้เนาะ เดี๋ยวพี่พาไปที่ห้องพักนะ”

ผมเดินออกจากห้องตามพี่สาวไปแล้วก็คิดวนในหัวไป ทำไมงานมันหนักจังวะ...เงินเดือนจะต้องมากตามปริมาณงานนะ ถ้าไม่เป็นไปตามนั้นผมไม่ยอมหรอก

ว่าแต่ เภสัชกรอยู่หอพักแพทย์ แล้วพวกหมอๆจะไม่มองแรงใส่หรอ เหมือนได้สิทธิพิเศษขนาดนี้ ช่างเถอะครับ ถือว่าได้พักสบายๆไปอีกสักพัก ฮ่าๆๆ

“นี่ห้องน้องนะ ละนี่คีย์การ์ด ติดขัดอะไรก็ปรึกษาพี่นะ” พี่สาวยื่นคีย์การ์ดห้องเบอร์ 1128 ให้ ผมโค้งขอบคุณก่อนที่จะแตะบัตรเข้าห้อง

“โอ้วววว” พอก้าวเข้ามาในห้องผมก็ตะลึงมาก ห้องพักแพทย์เป็นอะไรที่มีครบครันมาก ทั้งแอร์ทีวี เตียงนุ่มๆ พร้อมกับ Router ที่ตั้งอยู่ในห้องเลย คือดีมากกกกก นึกแล้วตอนม.ปลายก็น่าจะเลือกคณะแพทย์ไว้สักอันดับ แต่ก็นะ ผมไม่ถูกจริตกับวิชาชีววิทยาตั้งแต่ไหนแต่ไร จะให้เรียนวิศวะก็ไม่ใช่แนว ผมชอบวิชาเคมีมาก ก็คิดว่าเภสัชนี่แหละลงตัวที่สุดแล้ว ถึงแม้จะมีชีววิทยาหน่อยๆก็ตาม ก็ไม่ได้อะไรมาก

พอผมจัดข้าวของเสร็จสรรพ ก็อาบน้ำ กินมาม่าแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงทันที วันนี้เหนื่อยมากๆเลยครับ เดินทางจนเหนื่อย ฮ่าๆๆๆ เจอกันพรุ่งนี้เช้าครับ บ๊ายบายยย

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมอาบน้ำแต่งตัวเตรียมพร้อมสำหรับไปทำงาน เสริมหล่อเล็กน้อยก่อนที่จะออกจากหอ พอผมเดินลงมาจากหอ ก็เหมือนจะเห็นใครบางคน มองไม่ค่อยชัดเพราะไม่ได้ใส่แว่น รู้แต่ว่าผู้ชายคนสวมเสื้อกาวน์ยาว คงเป็นหมอที่นี่แหละครับ มือข้างหนึ่งถือกระดาษ อีกข้างหนึ่งถือกาแฟกระป๋อง ตัวขาวๆ หน้าหวานๆ เหมือนผมเคยเห็นที่ไหนสักที่นึกไม่ออกแฮะ ปกติผมจำหน้าคนเก่งมาก แต่ทำไมคนนี้กลับลืม

ช่างเถอะครับ เดี๋ยวถ้าเห็นหน้าจะๆก็นึกออกเอง

เริ่มงานวันแรก พี่ๆที่อยู่ในห้องยาผู้ป่วยนอกก็ต้อนรับผมอย่างดี งานวันแรกก็เหมือนกับที่ผมฝึกงานมาตอนปี6เลยครับ จัดยาตามใบสั่งแพทย์ โดยการแกะลายมือซึ่งไม่ควรเรียกว่าลายมือให้ออก จัดวนๆไปประมาณ 50 ชุดได้ พอครบ 50 ชุด ผมก็วนมาอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์เพื่อมาบอกคนไข้ว่ายานี้กินอย่างไร ใช้อย่างไร คนไข้ส่วนใหญ่ก็ตั้งใจฟังผมอย่างดีนะครับ แต่ก็มีบางรายที่กวนประสาทผม อย่างเช่นรายนี้ รายแรกของการทำงานที่ชิงเต่า

“ขอดูบัตรประชาชนด้วยครับ” ผมบอกเขาให้เอาบัตรประชาชนมาดู เพื่อจะได้ตรวจดูว่ายาที่จัดให้ชุดนี้ตรงกับผู้รับไหม

"ขอบัตรผมไป ต้องเอาเบอร์โทรคุณมาแลกด้วยได้ไหมครับ เผื่อมีปัญหาเรื่องยาจะได้ปรึกษาคุณเภสัชไง"

“เฮ้อ ขอบัตรหน่อยครับ ถ้าจะโทรหา ก็โทรเบอร์ที่อยู่ข้างถุงได้เลยนะครับ” ผมถอนหายใจเล็กๆ ก่อนที่จะบอกเขาเป็นรอบที่สอง เขาคนนั้นก็ยื่นบัตรมาให้ผมพร้อมกับสายตาที่กะล่อนที่สุด

อยากจะต่อยมากกกกกกก

“แล้วตัวจริงหล่อกว่าในรูปไหมครับ” ยัง ยังไม่หยุดอีก คนบ้าอะไรไม่รู้จักกาลเทศะ คนทำงานอยู่ยังมากวนโอ้ยอยู่ได้

เราเป็นคนสาธารณสุข เราต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้ ห้ามวู่วามเด็ดขาด ถึงแม้ว่าอยากจะโบกสักแค่ไหน !!!

“เฮ้อม ครับ” ผมรีบตัดบทสนทนา ยื่นบัตรคืนเขาไปและรีบๆอธิบายให้จบๆไป ที่จริงผมไม่อยากจะทำส่งๆแบบนี้เลย แต่คนไข้คนนี้กวนประสาทมากไปจริงๆ ผมลำไยยยย

"ตัวนี้กิน 3 เวลาหลังอาหารนะครับ แล้วนี่ตัวใหม่ กินก่อนนอน และห้ามลืมนะครับ เดี๋ยวรักษาไม่ได้ผล" ผมอธิบายการใช้ยาทีละตัว ก่อนที่จะเอายาใส่ถุงแล้วส่งให้เขา คนไข้คนนั้นเห็นผมอารมณ์เสียแต่ก็ยังยิ้ม

“รับทราบคร้าบ” ตอบกลับอย่างอารมณ์ดียิ้มกว่างจนเห็นเขี้ยว แปลก ปกติจะต้องรู้แล้วนะว่าผมไม่พอใจ แต่ก็ยัง...มายิ้มอีก ฮือ แปลกคนมาก แปลกจริงๆ

เฮ้อออ ผมจะต้องเจอคนแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนเนี่ย

ผ่านไปไม่ถึงสองอาทิตย์ ผมก็เจอเขาอีก แต่ไม่ได้เจอในฐานะคนไข้ แต่เจอในฐานะคนทั่วไปที่เข้ามาในโรงพยาบาล มายืนจ้องๆมองๆหน้าห้องยา เหมือนมองหาใครบางคน รู้สึกว่าเขาจะนกด้วยครับ

ค...ค....คุณเภสัช!!! ตกใจอะไรครับ แล้วทำไมต้องตกใจด้วย ผมยืนดูดกาแฟพร้อมกับมองด้วยสายตาที่งุนงง แล้วพอผมมองเขา เขาก็ยิ้มพิมพ์ใจให้ผม

ยิ้มทำไมอีกวะ

มองผมทำไมครับผมตอบกลับไป เขาก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไร แถมยังดูอารมณ์ดีผิดกับก่อนที่จะเจอผมอีกด้วยซ้ำ

“เราเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่าครับ” เอ้า ถามแบบนี้ทำไม อย่าคิดว่าผมไม่ทันมุกของคุณนะครับคุณฟันเขี้ยว

“ก็คุณมารับยาเมื่อสองอาทิตย์ก่อนไม่ใช่หรอครับ แค่นี้ลืมแล้วหรอครับ” ผมตอบกลับไปแบบนิ่งๆเรียบๆ ทำให้คนข้างหน้าแอบเหวอเล็กน้อย ฮึ่ยยย สะใจจริงครับ ผมพยายามเก็บความสะใจนั้นไม่ให้แสดงออกมา เดี๋ยวมาดเภสัชคนขรึมจะโป๊ะแตกเอา

“บางอย่างผมอาจจะขี้ลืม แต่สำหรับชื่อของคุณเภสัชนี่ผมไม่เคยลืมเลยนะครับ” เฮ้ยยย กวนประสาทมาก ผมว่ามันไม่ใช่การกวนแบบธรรมดาแล้วนะ

มันกวนแบบ...เหมือนโดนจีบ...

โอ้ย คงไม่ใช่หรอกมั้งครับ เขาอาจจะมีอาการทางประสาทอยู่หน่อยๆก็ได้ อย่าคิดไปไกลสิเชียนซี

“รู้ไปแล้วได้อะไรครับ”

“ก็...ไม่รู้เหมือนกันครับ อาจจะเป็นชื่อเนื้อคู่ผมในอนาคตก็ได้ ฮ่าๆๆ” โอ้โห ผมว่านี่มันผิดปกติแล้วนะ ใครเขาจะมาพูดแบบนี้กับคนที่เคยเห็นหน้าแค่ครั้งเดียวกันครับ มันแปลกๆนะ

“หลบไปครับ ผมจะทำงาน” ผมรีบเดินออกไปจากตรงนั้นทันที แถมไหล่ของผมยังไปชนกับไหล่เขาอีก

“ตั้งใจทำงานนะคร้าบบบบ” เสียงของคนนั้นดังเข้ามาในโสตประสาท รู้เลยว่าเขาพูดถึงผมแน่ๆ

ชีวิตเชียนซีต้องมาเจอกับคนติ๊งต๊องแบบนี้หรอ แล้วแถมยังมาเจอในช่วงแรกๆของการทำงานอีกจะโชคดีไปไหนวะ (ประชดดดดด)

ความสงสัยได้เกิดขึ้นในหัวสมอง ผมเปิดคอมของห้องยาเพื่อเรียกดูประวัติการจ่ายยาของนายกวนประสาทนั่น ปกติผมจะไม่นั่งดูประวัติการจ่ายยาย้อนหลังของคนไข้ เว้นแต่ว่าแพทย์จะสั่งมาเท่านั้น แต่คราวนี้ผมขอดูประวัติของอิตาคนนี้ดูสักนิดนึง ว่าเคยมีการจ่ายยาเกี่ยวกับระบบประสาทไหม ผมเลื่อนๆดูแล้วก็เจอแต่ยาพื้นฐานที่เอาไว้รักษาโรคน้ำตาลในเลือดต่ำ ยาลดไข้ ยาแก้ไอบ้างประปราย ไม่มียาที่เกี่ยวกับระบบประสาทเลยสักตัวเดียว

แล้วเขาจะพูดแบบนั้นกับผมไปทำไมกันนะ

จีบหรอ? ไม่มั้งครับ คนอะไรยังไม่ได้พูดคุยกันจะมาจีบแล้ว ไม่มีทางอ่ะผมว่า

อาจจะอยากกวนประสาทผมเล่นตามประสาเท่านั้นแหละ

อย่าคิดไปไกลเลยเชียนซี มาคราวหน้าเขาคงไม่มาพูดอะไรแบบนี้ ทำหน้าดุใส่ไปขนาดนั้น

คงจะไม่กล้าหือกับผมแล้ว (มั้ง) 

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
 หลังจากที่หายไปนานเนื่องจากมีเหตุการณ์ในบ้านเรานิดหน่อย ไรท์จึงไม่อัพฟิค ดังนั้นวันนี้ สถานการณ์เข้าสู่ภาวะค่อนข้างปกติแล้ว ไรท์จึงมาอัพฟิคที่แต่งค้างไว้ หวังว่ารีดเดอร์ทุกคนจะสนุกกับการอ่านนะคะ อยากหวีด อยากติชม ก็เข้ามาได้ที่แท็ก #DrugdailyKQ ได้เลยนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันค่ะ 🙏🙏🙏

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น